วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

VENEZIA


     เวนิส (Venezia) เมืองที่โรแมนติกติดอันดับต้นๆ ของโลก “เมืองที่ใช้เรือแทนรถ ใช้คลองแทนถนน” มีเกาะเล็กใหญ่กว่า 118 เกาะ และมีสะพานเชื่อมมากกว่า 400 แห่ง     การท่องเที่ยวแนะนำให้ไปเช้าๆ เราจะได้บรรยายกาศยามเช้า อากาศเย็น อีกอย่างหนึ่งก็คือ ช่วงสายเป็นด้นไป นักท่องเที่ยวจะเยอะมากๆ

 เวนิสเป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก(Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges), และเมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light)







ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี




           ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินทางมาเที่ยวยังเมืองเวนิส ซึ่งมีทั้งคนที่เคยมาเพียงครั้งแรก และหลายๆครั้ง ซึ่งก็เป็นพวงมาจากการหลงเสน่ห์เมืองเว นิส จนต้องกลับมาเยือนอีกครั้ง แน่นอนว่าเมืองที่มีชื่อเสียงอย่างเวนิส ย่อมต้องมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการที่คุณได้มีโอกาสมาเที่ยวตรงช่วงงานเทศกาลเก่าแก่ อย่าง Carnevale di venezia ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีผู้คนหลั่งไหลมาร่วมงานจำนวนมาก




 
 
 
        เพื่อให้สมกับคำกล่าวขานที่ว่าเมืองแห่งคลอง มาเที่ยวเวนิสคงต้องไม่พลาดกิจกรรมยิดฮิตอย่าง การล่องคลองชมเมืองด้วยเรือกอนโดลา สิ่งที่ถือว่าเป็น อีกสัญลักษณ์หนึ่งของเวนิส สัมผัสทัศนียภาพอันสวยงามของเมืองลอยน้ำอย่างเวนิส ที่สองข้างคลองจะเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่สร้างขึ้นอย่างสวยงาม ซึ่งหากสังเกตุดีๆคุณจะพบ ว่าอาคารแต่ละหลังนั้นค่อนข้างเก่าแก่ เพียงแต่ได้รับการบำรุงรักษา จึงสามารถอยู่มาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง

 
 
      สะพานซิงห์ (Bridge of Sighs)สะพานเก่าแก่ที่ เชื่อมต่อระหว่างวังดูคาเลกับคุกเก่า เป็นเส้นทางลำเลียงนักโทษเข้าสู่ตัวคุก ออกแบบโดย Antoni Contino ในปี ค.ศ.1602       อีกหนึ่งสะพานที่สวยไม่แพ้กัน คือ สะพานริอัลโต (Rialto) สะพานที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต้องมาเยือน นอกจากนั้นรอบๆสะพานจะเป็นย่านขายของที่ระลึก และตลาดขายของสดผู้คนจึงมากพอสมควร











วังดูคาเล (Palazzo Ducale) อาคารที่มีสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นโดยวังแห่งนี้เคยเป็น ที่พำนักของผู้ปกครองเมืองเวนิส โดยภายในตกแต่งด้วยศิลปะหลายยุคสมัย มีการแบ่งเป็นห้องต่างๆมากมาย ซึ่งแต่ะห้องจะมีการประดับไว้ด้วยภาพวาดโดย ศิลปินชาวเวนิสหลายๆท่าน









มหาวิหารซานมาร์โค (Bacilica di San Marco) เป็นวิหารที่มีชื่อเสียงมากของเมืองเวนิส เป็นตัวอย่างอันสำคัญของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ สิ่งที่โดดเด่นของโบสถ์ก็คงจะเป็นโดมห้าโดมนั่นเอง










วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

CACTACEAE

ในอาณาจักรพืช กระบองเพชร ถูกจัด อยู่ในวงศ์ CACTACEAE

Kingdom: Plantae
Division: Magnoliophyta
Class:Magnoliopsida
Order: Caryophyllales
Family Cactaceae

แคคตัส(cactus)   หรือกระบองเพชร แคคตัส คือ พืชที่จัดอยู่ในประเภทพืชลำต้นอวบน้ำ (Stem succulent )  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพืชอวบน้ำทั้งหมดจะเป็น "แคคตัส" เสมอไป   พืชที่จะจัดอยู่ในตระกูลของแคคตัส   จะต้องประกอบด้วย ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ 4 ประการคือ  เป็นไม้ยืนต้น  เป็นพืชใบเลี้ยงคู่  ออกลูกเป็นผลเซลล์เดียว และ มีตุ่มหนาม ซึ่งตุ่มหนามนี้จะพบได้ในพืชตระกูล แคคตาซี (cactaceae) หรือ ตระกูลแคคตัสเท่านั้น ลักษณะพิเศษที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ แคคตัสแทบทุกชนิดจะไม่มีใบหรือลดรูปใบกลายเป็นหนามหรือขน และแม้ว่าพืชวงศ์อื่นจะจะมีการลดรูปใบและมีหนามเช่นกัน อย่างเช่นพวกยูโฟเบีย (Euphorbia)แต่ก็จะยังมีใบเล็กๆให้เห็นเป็นส่วนใหญ่เพียงแต่อาจหลุดร่วงเร็วไม่ได้หายไปเลยเหมือนแคคตัสแคคตัส (Cacti) เป็นภาษากรีกโบราณ หมายถึง พันธุ์ไม้ที่มีหนาม โดย Linnaeus (Carl von Linne’) แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน เป็นผู้นำมาใช้เรียกไม้อวบน้ำที่มีรูปร่างแปลกๆ ไม่มีใบ มีแต่หนาม (ใบที่เปลี่ยนรูปกลายเป็นหนาม) มีถิ่นกำเนิดในภูมิประเทศแห้งแล้ง ทุรกันดาร จึงต้องปรับตัวให้สามารถเก็บออมถนอมน้ำไว้ในลำต้น ไว้ใช้ยามที่ภูมิประเทศรอบๆ ตัวขาดน้ำเป็นเวลานานได้ สังเกตได้ว่า แคคตัสมีลักษณะผิดไปจากไม้ยืนต้นพันธุ์อื่นๆ ที่มีใบและที่ใบมีปากใบ สำหรับถ่ายเทอากาศและคายน้ำออก ทำให้น้ำระเหยออกจากต้นได้เร็ว เนื่องจากแคคตัสไม่มีใบ มีแต่หนาม น้ำจึงระเหยออกไปได้ยาก แคคตัสจึงเก็บถนอมน้ำไว้ได้นานกว่าพันธุ์ไม้อื่นและเติบโตได้ดีในที่แห้งแล้ง





    ปัจจุบันมีรายงานว่าพืชในกลุ่มแคคตัสมีอยู่ประมาณ 50-150 สกุลมากกว่า 2,000 ชนิด โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ 8 กลุ่ม  คือ











1. กลุ่ม Pereskia มีใบแท้จริง ไม่มีหนามหรือขนแข็งปลายงอ เมล็ดสีดำ และมีเยื่อหุ้มเมล็ด (aril) ได้แก่สกุล Maihuenia และ Pereskia










2. กลุ่ม Opuntia ใบมีขนาดเล็ก มีหนามหรือขนแข็งปลายงอ และมีเยื่อหุ้มเมล็ด ได้แก่ สกุล Opuntia , Pereskiopsis , Pterocactus , Quiabentia และ Tacinga





3. กลุ่ม Cereus ไม่มีใบ เมล็ดมีสีดำหรือสีน้ำตาล ต้นเป็นทรงกระบอก มีสันและหนามมากมาย ส่วนโคนดอกด้านนอกอาจมีหรือไม่มีหนามปกคลุม ได้แก่สกุล Armatocereus , Arrojadao , Bergerocactus , Brachycereus , Browningia , Calymmanthium , Carnegiea , Cephalocereus , Cereus , Corryocactus , Dendrocereus , Echinocereus , Erdisia , Escontria , Eulychnia , Harrisia , Jasminocereus , Lemaireocereus , Lophocereus , Machaerocereus , Micranthocereus , Monvillea , Myrtillocactus , Neoraimondia , Nyctocereus , Pachycereus , Peniocereus , Pilosocereus , Rathbunia , Stetsonia และ Wilcoxia





4. กลุ่ม Echinopsis คล้ายกับกลุ่ม Cereus แต่ต้นมีขนาดเล็กกว่าและผิวด้านนอกของดอกที่มีลักษณะเป็นหลอดมักมีขนหรือเกล็ดสั้นๆ ปกคลุม ได้แก่สกุล Acanthocalycium , Arequipa , Arthrocereus , Borzicactus , Cephalocleistocactus , Chamaecereus , Cleistocactus , Denmoza , Echinopsis , Espostoa , Haageocereus , Hildewintera , Lobivia , Matucana , Mila , Oreocereus , Oraya , Rebutia , Sulcorebutia , Thrixanthocereus , Weberbauerocereus และ Weingartia




5. กลุ่ม Hylocereus คล้ายกับกลุ่ม Cereus แต่เป็นพวกพืชอิงอาศัย (epiphytic) มีระบบรากอากาศ ต้นเป็นสัน หนามบอบบาง ได้แก่สกุล Aporocactus , Cryptocereus , Deamia , Discocactus, Epiphyllum , Heliocereus , Hylocereus , Mediocactus , Nopalxochia , Pfeiffera , Rhipsalidopsis , Rhipsalis , Schlumbergera , Selenicereus , Weberocereus , Wittia และ Zygocactus





6. กลุ่ม Melocactus คล้ายกับกลุ่ม Neopoteria โคนหลอดดอกมีปุยหรือไม่มีก็ได้ แต่จะมีหนามขึ้นปกคลุม ดอกเกิดบนเซฟาเลียมยกเว้นสกุล Buiningia ที่ดอกจะเกิดที่ด้านข้างของเซฟาเลียม ได้แก่ Buiningia , Discocactus และ Melocactus








7. กลุ่ม Neopoteria ต้นขนาดค่อนข้างเล็ก ทรงกลมแป้นหรือทรงกระบอก ต้นเป็นสันเห็นได้ชัดเจน โคนหลอดดอกมีปุยนุ่มและมีหนาม ได้แก่สกุล Austrocactus , Blossfeldia , Eriosyce , Frailea , Neoporteria , Notocactus , Porodia , Uebelmannia และ Wigginsia






8. กลุ่ม Echinocactus แต่ดอกจะเกิดบริเวณตอนกลางของด้านบนสุดของต้น และไม่มีเซฟาเลียม ได้แก่สกุล Ancistrocactus , Ariocarpus , Astrophytum , Aztekium , Cochemiea , Coloradao , Copiapao , Coryphantha ,Dolichothele , Echinocactus , Echinomastus , Escobaria , Ferocactus , Gymnocalcium , Hamatocactus , Homolocephala , Islaya , Leuchtenbergia , Lophophora , Mamillopsis , Mammillaria , Neobesseya , Neogomesia , Neolloydia , Ortegocactus Pediocactus , Pelecyphora , Sclerocactus , Solisis , Strombocactus , Thelocactus , Toumeya และ Utahia